BMW Electric Era : กำเนิดยุคสมัยแห่งรถไฟฟ้า

BMW 1602 Electric

เรื่องราวของ BMW 1602 Electric ที่ถ่ายทอดข้อความสร้างแรงบันดาลใจผ่านกาลเวลา เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ ที่เป็นก้าวสำคัญสำหรับ BMW Group สู่โลกแห่ง e-mobility เราใช้โอกาสนี้เพื่อย้อนเวลากลับไปดูขั้นตอนที่ BMW Group ได้พัฒนาไปสู่ ​​​​e-mobility กันตั้งแต่เริ่มต้น

BMW 1602 Electric ถูกนำมาใช้ในงาน BMW Berlin Marathon เพื่อเลี่ยงการปล่อยไอเสียไปสู่นักกีฬา

การเดินทางด้วยเครื่องย้อนเวลา

ในทศวรรษที่ 1960 ที่ถือว่าเป็นยุคของ Pop Culture ยุคสมัยแห่งการเคลื่อนไหวทางสังคมไปพร้อมกับปัญหามลภาวะ
ในเขตเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา ออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อลดการปล่อยไอเสีย
จากรถยนต์ นำไปสู่การพัฒนาแหล่งเชื้อเพลิงทางเลือกในที่สุด หนึ่งในนั้นคือ BMW ที่กำลังซุ่มพัฒนา
ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเช่นกัน

ในปี 1969 BMW Group เริ่มทดลองสร้างรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาสองคัน โดยใช้โมเดล BMW 1602 ซึ่งอยู่ในคลาสเดียว
กับ BMW 2002 ที่เป็นที่นิยมสูงสุดในขณะนั้น นำมาถอดเครื่องยนต์ และถังน้ำมันออก แทนที่ด้วยแบตเตอรี่
ตะกั่วกรดจาก VARTA ขนาด 12 โวลต์ จำนวน 12 ก้อน วางในห้องเครื่อง กระปุกเกียร์ถูกแทนที่ด้วยมอเตอร์ Bosch
ที่มีกำลังสูงสุด 32 กิโลวัตต์ และส่งกำลังไปยังล้อหลัง ผ่านเฟืองกลางและเพลากลาง รวมไปถึงพัดลมเรเดียล 140 วัตต์
ที่ควบคุมด้วยเทอร์โมสตัทช่วยระบายความร้อน

Advertising สุดคลาสสิคสำหรับการโฆษณาในยุคนั้น

3 ปีให้หลังจากที่ BMW Group เริ่มต้นการวิจัยรถยนต์ไฟฟ้า มันเป็นเวลาเดียวกับอาคารลูกสูบสำนักงานใหญ่แห่งใหม่
ของ BMW Group สร้างเสร็จพอดี จึงถือโอกาสใช้เวทีนี้เปิดตัว BMW 1602 Electric สีส้ม Ruby Red ทั้ง 2 คัน
ทำหน้าที่เป็นพาหนะสำหรับคณะกรรมการจัดงาน อีกทั้งยังใช้เป็นรถสนับสนุนและติดกล้องถ่ายภาพการแข่งขัน
สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1972 ที่ถูกจัดขึ้นที่มิวนิก “เนื่องจากมันไม่มีไอเสียที่ปล่อยสู่เหล่านักกีฬา”

“60 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง” คือระยะทางที่ BMW 1602 Electric ทำได้ มันเร่งความเร็วจาก 0-50 กม./ชม.
ใน 8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 100 กม./ชม. แต่ด้วยระยะทางและแบตเตอรี่น้ำหนัก 350 กิโลกรัม
ทำให้ BMW 1602 Electric ยังไม่ใช่รถยนต์สำหรับการใช้งานจริง มันจึงยังไม่ได้ผลิตออกมาจำหน่าย
แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยียุคใหม่ของ BMW

BMW 1602 Electric ไม่เพียงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของ BMW Group เท่านั้น แต่ยังเป็นรถต้นแบบพลังงานไฟฟ้า
เพียงไม่กี่คันในยุคนั้นที่ดูเป็นรถใช้งานจริง ต่างจากแบรนด์ส่วนใหญ่ที่เน้นดีไซน์หวือหวา และด้วยกลยุทธ์ของ BMW
ที่ตั้งใจแสดงให้เห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาผิดแผกจากเดิมเพียงเพราะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่าง

ปี 1975-1992 BMW Group ได้ทำการวิจัยและทดสอบรถยนต์รุ่นต่างๆ บนแพลตฟอร์ม BMW LS ที่ใช้แบตเตอรี่
โซเดียมซัลไฟด์ จนพัฒนามาเป็น BMW E1 ซิตี้คาร์ที่เปิดตัวงาน Frankfurt Motor Show (IAA) ในปี 1991 ต่อมาในปี
2009 BMW ได้เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฮบริดพร้อมกันสองรุ่นที่งาน Frankfurt Motor Show คือ BMW ActiveHybrid 7
และ BMW ActiveHybrid X6 SAC เนื่องจากแบตเตอรี่ในยุคนั้นยังมีพละกำลังไม่มากเท่าในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ BMW Group
จึงนำเสนอรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกที่งาน IAA ในปี 2009 

2010 ผ่านมาเพียงหนึ่งปี  BMW ก็นำเสนอ BMW Concept ActiveE ตามมาติดๆ ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ได้พัฒนาต่อมาเป็น Megacity Vehicle (MCV) ซึ่งนำไปสู่การเปิดตัว BMW i3

“Born electric” สโลแกนของรถยนต์เซกเมนต์ใหม่ของ BMW ในชื่อ BMW i  ได้เปิดตัวรถรุ่นแรกคือ BMW i3  ที่มีห้องโดยสารทำจากพลาสติกเสริมคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) ทำให้น้ำหนักเบาขึ้นช่วยให้รถแล่นได้ไกลขึ้นด้วยแบตเตอรี่ที่มีขนาดเล็กลง 

BMW i8 รถสปอร์ตปลั๊กอินไฮบริด ที่มาจากคอนเซ็ปต์ BMW Vision EfficientDynamics ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก
ปล่อยมลพิษต่ำร่วมกับพลังงานไฟฟ้าจนได้สมรรถนะสูง เปิดตัวในปี 2014 และตามมาด้วยรุ่นเปิดประทุน
Roadster BMW i8 ในปี 2018

2019  BMW แสดงให้โลกเห็นว่าบริษัทได้ก้าวไปอีกขั้นในการใช้เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ในรถ BMW i Hydrogen NEXT และอีกสองปีต่อมา BMW iX5 Hydrogen ที่ขับขี่ได้จริงก็เปิดตัวครั้งแรกในงาน  IAA 2021 

BMW i Vision Circular รถต้นแบบที่ออกแบบตามหลักการของความยั่งยืน ฉายภาพให้ผู้คนมองเห็นได้ว่ารถยนต์จาก BMW
จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

2022 ภาพของยานยนต์อนาคตนั้นมาถึงเร็วกว่าที่คาด และถึงตอนนี้ผู้คนก็ได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านั้นใน BMW iX
BMW i4, BMW i7, BMW iX1, BMW iX3 และอีกหลายๆรุ่น ที่ทยอยกันออกมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับการเดินทาง
ของพวกเรา..

ขอบคุณข้อมูลจาก BMW.com

Share