ภายใต้การเปลี่ยนแปลงจุดสำคัญเพียงไม่กี่จุดทำให้รูปลักษณ์ของหน้าตาที่น่าทึ่งดุจรถต้นแบบของ i8 รุ่นอัพเดทนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก แต่จุดสำคัญที่เปลี่ยนนั่นแหละที่เป็นตัวเรียกคะแนนได้อย่างท่วมท้น
เมื่อ 4 ปีที่แล้วเรายังลุ้นกันอยู่ว่าโมเดลถัดมาของ BMW i8 จะเพิ่มความตื่นเต้นให้กับการออกแบบที่ลงตัวในทุกจุดอย่างนั้นได้อย่างไร แต่แล้วมันง่ายนิดเดียวเมื่อพวกเขาพบว่าก็แค่เอาหลังคาออกซะ มันก็ดูหวือหวาขึ้นอีกเป็นกอง อีกทั้งยังตอบสนองความต้องการลูกค้ากลุ่มที่ต้องการให้สายลมปะทะเส้นผมได้ในคราวเดียว
ทรวดทรงองค์เอวต่าง ๆ ของ i8 เวอร์ชั่นอัพเดทนี้ยังคงเหมือนเดิมแต่เพิ่มรุ่น Roadster ขึ้นมา ประตูปีกนกของมันดูเท่ขึ้นเมื่อไร้ขอบกระจกแบบรุ่น Coupé พร้อมเติมเต็มจิตวิญญาณแห่ง Roadster ด้วยสัญลักษณ์ที่แปะอยู่ด้านหลังรถ และที่เสา C-pillar แน่นอนว่าไฮไลท์เด็ดอยู่ที่หลังคาผ้าใบที่เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าที่ทำงานอย่างไร้เสียงภายในเวลา 15 วินาที และสามารถเปิด-ปิดได้ขณะรถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงสุดไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยหลังคาจะถูกพับเก็บลงในลักษณะตั้งฉากทำให้พื้นที่นั่งในตอนหลังหายไป เหลือเพียงสองที่นั่ง เพราะที่นั่งในตอนหลังจะถูกแลกมาเป็นพื้นที่สำหรับเก็บหลังคา แต่ก็ให้ช่องเก็บของเล็ก ๆ ขนาด 92 ลิตรที่อยู่ด้านหลังเบาะมาเป็นของปลอบใจ โดยปุ่มควบคุมจะถูกซ่อนอยู่ในคอนโซลกลาง หรือจะเลือกเปิดหลังคาจากรีโมตเมื่ออยู่นอกรถก็ได้
ในช่วงแรกทีมทดสอบพบว่าเมื่อเปิดหลังคาแล้ว มีลมร้อนที่ออกมาจากช่องระบายลมบนฝากระโปรงหน้า ซึ่งมันสูงถึง 70 ํC และไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ถ้าไปวนเวียนอยู่ในห้องโดยสารของรถเปิดหลังคา ดังนั้นจึงต้องแก้ไขด้วยการเปลี่ยนทิศทางการระบายลมให้ออกสู่ด้านใต้ทางซุ้มล้อแทนซะ พร้อมจัดระเบียบของกระแสลมใต้ท้องใหม่ด้วยการทำให้มันเรียบมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นทั้งใน Roadster และ Coupé ในรุ่น LCI เพียงแต่คุณอาจไม่ได้สังเกตเห็นมันจากภายนอก นอกเสียจากช่องระบายลมบนฝากระโปรงหน้าที่ถูกปิดด้วย Air Shutter ดีไซน์ใหม่เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว พร้อมเพิ่มสีตัวถังใหม่มาให้เลือกอีกสองสี คือสีเทา Donington Grey และสีทองแดง E-Copper ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสีใดก็จะถูกตัดกับสีเทา Frozen Grey ในจุดตกแต่งต่าง ๆ
ถึงแม้จะมีกลไกของชุดเปิดหลังคาเพิ่มขึ้นมา แต่เทคโนโลยี BMW Efficient Lightweight ที่ส่วนใหญ่ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาหรือ CFRP (Carbon Fibre Reinforced Plastic) อย่างบริเวณโครงกระจกหน้า จึงทำให้มันหนักกว่ารุ่น Coupé น้อยนิดเพียง 60 กิโลกรัม และต้องขอบคุณกระบวนการผลิตอันล้ำสมัย ที่เป็นหัวใจสำคัญสำหรับการเชื่อมต่อโครงสร้างหลังคาผ้า เช่น ชิ้นส่วนอะลูมิเนียมที่เป็นกลไกการเปิด-ปิดหลังคาถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติที่ BMW บุกเบิกเอามาใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการผลิตโครงสร้างยึดเกาะที่เชื่อมต่อกันในรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งไม่สามารถทำได้ด้วยเทคโนโลยีการหล่อขึ้นรูปแบบดั้งเดิมขณะที่เทคโนโลยีนี้ยังช่วยให้ชิ้นส่วนดังกล่าวมีความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบา
ดูเหมือนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงกับภายในห้องโดยสารมาก พวงมาลัย ปุ่มต่าง ๆ ยังคงเหมือนเดิม รายละเอียดยิบย่อยเล็กน้อยอย่างการตกแต่งด้วยคาร์บอน สิ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุดคงเป็นหน้าจอ infotainment ที่ตอนนี้มันขยายเป็นขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมการเข้าเมนูแบบ Live tile รุ่นล่าสุดจาก BMW ที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่สั่งการด้วยการสัมผัสได้แล้ว ส่วนหน้าจอ Head-Up Display ที่สะท้อนบนกระจกนั้นเป็นออพชั่นที่ต้องเลือกใส่เพิ่มเช่นเดียวกับออพชั่นภายใน Accaro ที่จะใช้เบาะหนังแท้สี E-Copper ตัดเย็บสลับกับผ้าอย่างสวยงาม หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็จะได้เป็นหนังสีดำที่ดูเรียบง่ายอย่างคันที่เราเห็นอยู่นี้
ตอนที่ i8 Roadster เข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย มร.คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน BMW Group ประเทศไทยกล่าวว่า “รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่นำมาให้คนไทยได้สัมผัสเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของ BMW ประเทศไทย ทีนำเอานวัตกรรมล้้ำสมัย ดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสมรรถนะแรงเต็มพิกัด ให้แก่ลูกค้าชาวไทย” นั่นหมายถึงว่านอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ความแรงของมันก็ถูกพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกด้วย ถ้าเปิดจากสเปคดูแล้วเราจะพบว่ามีการจัดการบางสิ่งบางอย่างกับระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริด ด้วยเทคโนโลยี BMW eDrive เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ที่ได้รับการพัฒนาให้สามารถวิ่งโดยไร้การปล่อยมลภาวะได้ไกลขึ้นแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนแรงดันสูงที่ขนาดมิติเท่าเดิมแต่เพิ่มปริมาณกระแสจาก 20 แอมป์ เป็น 34 แอมป์ หรือเพิ่มความจุแบตเตอรี่โดยรวมจาก 7.1 เป็น 11.6 กิโลวัตต์ชั่วโมงนำมาทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 143 แรงม้า (เพิ่มขึ้นจากเดิม 12 แรงม้า) สามารถเร่งความเร็วสูงสุด 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในขณะที่รุ่นก่อนเร่งความเร็วได้สูงสุดเพียง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเมื่อขับด้วยโหมด eDrive จะสามารถวิ่งได้โดยไม่มีการปล่อยไอเสียเลยและสามารถวิ่งได้เร็วสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ i8 รุ่นใหม่นี้สามารถขับขี่ในตัวเมืองโดยไม่ปล่อยมลภาวะเลยด้วยระยะทางสูงสุดประมาณ 53 กิโลเมตร และมีระบบเสียงจำลองเพื่อให้ผู้ใช้ทางเท้าได้ยินอีกด้วย
โดยเมื่อมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานคู่กับเครื่องยนต์ BMW TwinPower Turbo 3 สูบ ตัวเดิมที่ให้กำลัง 231 แรงม้า ที่ BMW แจ้งว่ามีการจูนเสียงให้สปอร์ตขึ้น ทำให้มีเอาท์พุตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 374 แรงม้า ซึ่งถ้าคุณใช้งานมันอยู่ในโหมด eDrive เครื่องยนต์ที่ใช้ขับเคลื่อนในล้อหลัง มันจะยกหน้าที่ให้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนในล้อหน้าทำงานไปอย่างเดียวโดยไม่เข้ามาแทรกแซงเลยจนกว่าไฟในแบตเตอรี่ใกล้หมด หรือจนกว่าคันเร่งจะถูกกดไปจนสะกิดสวิตช์คิกดาวน์
i8 Roaster สามารถเร่ง 0-100 กิโลเมตร ได้ใน 4.6 วินาที แต่ถ้าเป็น Coupé จะเร็วขึ้นอีกนิดหน่อยเป็น 4.4 วินาที เนื่องจากไม่มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากชุดกลไกหลังคาไฟฟ้าโดยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของรุ่น Roadster ทำให้ BMW ถือโอกาสอัพเกรดช่วงล่างของทั้งสองร่นุ นี้ให้กระฉับกระเฉงขึ้นด้วย โชก้ อัพยังไม่ได้ปรับอัตโนมัติ ถึงอย่างนั้นก็มีการปรับความหนืดโช้กอัพ น้ำหนักพวงมาลัยไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กันไปกับเหล็กกันโคลงและระบบ DSC ก่อนจะมอบล้ออัลลอย BMWi ลาย W-spoke ขนาด 20 นิ้ว เป็นมาตรฐานจากโรงงาน ที่ทั้งหมดจะทำให้การขับขี่นั้นดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างแน่นอน มันคือแง่มุมใหม่ของ i8 ที่ครบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความแรงที่เพิ่มมากขึ้นแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ทำให้สามารถเดินทางด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลขึ้น และโฉบเฉี่ยวมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อหลังคาของมันถูกพับเก็บลงสำหรับ BMW i8 Roadster ใหม่นี้ เคาะราคาออกมาสวย ๆ ที่ 12,999,000 บาท พร้อมแพ็คเกจการบำรุงรักษา BSI Standard
สมัครสมาชิกนิตยสารรายปี 6 เล่ม เพียง 1,000 บ. รับฟรี #BIMMERMEET3 T-Shirt Limited Edition มูลค่า 500 บ. คลิก bit.ly/BMWCar-Line
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น