BMW R18 การกลับมาของเบอร์หนึ่งรถ ครุยเซอร์สไตล์เฮอริเทจ (heritage) ตลอดกาล

หากพูดถึงแบรนด์ BMW หลายๆคนมักจะนึกถึงยานพาหนะอย่างรถยนต์ แต่หลายๆคนอาจจะไม่เคยรู้เลยว่า เจ้าแบรนด์ BMW เกิดขึ้นเมื่อไหร่ และอย่างไร ย้อนกลับไปตั้งแต่การก่อตั้งบริษัท BMW ในปี 1916 จากการควบรวมกิจการของ 3 ธุรกิจด้านยานยนต์ที่มีพื้นฐานในการผลิตเครื่องยนต์อากาศยานมาก่อน ประกอบไปด้วย บริษัทผลิตเครื่องยนต์อากาศยานในรัฐบาวาเรีย รัพพ์ (Rapp Motorenwerke) ของ Karl Rapp และการอากาศยานบาวาเรีย (Bayerische Flugzeugwerke) ซึ่งมี  Camillo Castiglioni เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วนอีกหนึ่งรายเป็นบริษัทผลิตยานยนตร์ตั้งอยู่ในรัฐทือริงเงิน คือโรงยานยนต์ไอเซอนัค (Fahrzeugfabrik Eisenach)

สงครามเป็นเหตุแห่งการพัฒนา

โรงงานที่เคยเป็นสถานที่ผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน

ในปี 1917 Karl Rapp ได้เปลี่ยนชื่อกิจการของตัวเอง จาก Rapp Motorenwerke ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “Bayerische Motoren Werke” ซึ่งเป็นชื่อเต็มของ BMW แล้วเหตุการร์ที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงและเยอรมนีเป็นฝ่ายแพ้ ทำให้เกิดที่นั่งลำบาก การผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายในเยอรมนี จากผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles) บริษัที่เคยเป็นกำลังหลักในการผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินต่าง ๆ ต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่ รวมถึง BMW ทั้งผลิตเครื่องมือทำฟาร์ม และเบรกสำหรับรถไฟ เพื่อให้กิจการอยู่รอด

ในปี 1922 เมื่อ Camillo Castiglioni ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท Bayerische Flugzeugwerke หรือ BFW เข้ามาซื้อกิจการด้านเครื่องยนต์เครื่องบินของ BMW จาก Karl Rapp ไป และ BFW ยังได้ย้ายสินทรัพย์ทั้งหมดของ BMW รวมถึงทรัพยากรบุคคลทั้งหมด และเครื่องมือการผลิต มาที่ศูนย์การผลิตของตัวเอง และได้เปลี่ยนชื่อจากบริษัทเดิมของตน BFW มาควบรวมกลายเป็น BMW แทน และตั้งอยู่ในเมืองมิวนิค และเป็นที่ตั้งของ สำนักงานใหญ่ของ BMW Group จนถึงปัจจุบันนี้ กลายเป็นศูนย์กลางการผลิต

กำเนิดมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกของ BMW

ด้วยความคิดอันชาญฉลาดของ Martin Stolle ผู้จัดการโรงงานที่รักการขี่มอเตอร์ไซค์เสนอความคิดว่ามอเตอร์ไซค์นี่ล่ะที่จะทำให้บริษัทรอด หัวหน้านักออกแบบของ BMW อย่าง Max Friz ที่ใช้เวลาว่างจากการทำงานก็หันมาออกแบบมอเตอร์ไซค์ไปด้วย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของ BMW เขาได้พัฒนาเครื่องยนต์จนได้เครื่องยนต์ต้นแบบของ BMW ด้วยเครื่องยนต์ 2 สูบยันในชื่อ “บ็อกเซอร์” (Boxer) ที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1920 ด้วยรหัสว่า M2B15 มีลักษณะเด่นคือลูกสูบคู่วางตัวในแนวราบตรงข้ามกัน ก้านสูบยันเพลาข้อเหวี่ยงหมุนพุ่งเข้าหากันคล้ายกำปั้นของนักมวย และความพยายามของของ Max Friz ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ผู้บริหารของ BMW ต่างพากันมั่นใจว่ากิจการจะสามารถไปต่อได้แบบฉลุย เนื่องจากยอดขายเจ้าเครื่องยนต์ M2B15 พุ่งกระฉูด ทำให้พวกเขาตัดสินใจทิ้งกิจการเบรกรถไฟทันที

มาร์ติน ชโตลเล่อะ (Martin Stolle) กับมอเตอร์ไซค์ต้นแบบ

เครื่องยนต์ “บ็อกเซอร์” (Boxer) รหัส M2B15

ปี 1923 รถมอเตอร์ไซค์คันแรกของ BMW ก็เปิดตัวขึ้น โดยมีชื่อรุ่นว่า R32 ซึ่ง Max Friz ได้พัฒนาจากพื้นฐานเครื่องยนต์รหัสเดิม M2B15 มาเป็น M2B33 มาพร้อมกับตราวงกลมฟ้า-ขาวติดถังน้ำมัน มอเตอร์ไซค์รูปลักษณ์แปลกตาที่เปิดตัวภายใต้แบรนด์ “BMW Motorrad” ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า “มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู” กลายเป็นไฮไลท์ที่สร้างความฮือฮาในงานปารีส ถือเป็นก้าวแรกของ BMW ในวงการมอเตอร์ไซค์  Max Friz ผู้ซึ่งไม่เคยมีความมั่นใจในการพัฒนาเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์

BMW R32

แรงจนหยุดไม่อยู่ พร้อมสร้างสถิติ

อย่างไรก็ดี เจ้า R32 ถูกผลิตไปกว่า 3,000 คันจนถึงปี 1926 BMW Motorrad เปิดตัว R37 ในงานมอเตอร์โชว์ที่กรุงเบอร์ลิน ด้วยรูปลักษณ์สะกดสายตาแฟนๆ เหมือนเดิม และได้วิศวกรหนุ่ม Rudolf Schleicher ซึ่งเป็นนักแข่งอีกด้วย เขาได้นำเจ้า R37 ซึ่งเป็นรถเดิมสนิทจากโรงงานไร้การปรับแต่งเอาชนะ รถอื่น ๆ ในการแข่งขันทรหดนาน 6 วันต่อเนื่องของอังกฤษเมื่อปี 1926 ซึ่งเป็นการคว้าเหรียญทองในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับนานาชาติครั้งแรกของ BMW Motorrad

รูดอล์ฟ ชไลเคอร์ (Rudolf Schleicher) กับ BMW R37

ตลอดทศวรรษ 1930 BMW Motorrad ยังลุยสร้างสถิติอย่างต่อเนื่อง วันที่  19 กันยายน  1929  โดย Ernst Jakob Henne ได้ถูกจารึกชื่อไว้ว่าเป็นผู้ขี่มอเตอร์ไซค์ที่เร็วที่สุดในโลก ด้วยการวิ่งทำลายสถิติโลกของมอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็ว 214.4 ก.ม./ช.ม ต่อ ชั่วโมง โดยใช้ BMW WR750 ขนาด 750 ซี.ซี. สูบนอนยันแบบบ็อกเซอร์ ติดตั้งระบบอัดอากาศซูเปอร์ชาร์จ สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก

แอร์นสต์ ยาค็อบ เฮ็นเน่อะ (Ernst Jakob Henne) กับ BMW WR750 ที่สร้างสถิติโลก

BMW WR750

BMW WR750


ความคลาสสิคแบบ เฮอร์ริเทจ ที่ควบคู่กับเทคโนโลยี

ความฮือฮายังไม่จบ เพราะ R5 ที่เปิดตัวในปี 1936 คือตัวอย่างความ “เป๊ะ” ของยนตรกรรมสัญชาติเยอรมัน และสะท้อนนิยามของสิ่งที่ BMW ยึดถือคือ “ความงดงามราวชิ้นงานศิลปะ ผนวกขุมพลังอันหนักแน่น ดุดัน” เจ้าบ็อกเซอร์ 500 ซีซี หน้าตาคลาสสิคแต่มาพร้อมความล้ำยุค ด้วยท้ายแข็งที่ซับแรงกระแทกด้วยสปริงใต้อาน กับตะเกียบช็อคหน้าทรงกระบอกซ้อนคว่ำ (telescopic) ปรับความหนืดได้แบบเดียวกับที่ใช้ในยุคปัจจุบัน

BMW R5

BMW R5

ไม่เท่านั้น เจ้า R5 ที่พูดถึง ถูกพัฒนาด้วยความก้าวหน้าด้านดีไซน์และเทคโนโลยี ทุกวันนี้ฝาครอบวาล์วใน R5 ยังเป็นต้นแบบของการสร้างชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกันในมอเตอร์ไซค์แบบครุยเซอร์ของ BMW  และกลายเป็นต้นแบบของเจ้า R18 ซึ่งถอดแบบมาจากเจ้าคุณปู่อย่าง R5 จากจุดเริ่มต้นของ BMW Motorrad กว่า 100 ปี จนถึงวันนี้  มอเตอร์ไซค์ของ BMW ไม่ใช่เพียงแค่มอเตอร์ไซค์ แต่มันคือเกียรติประวัติแห่ง BMW ยิ่งกว่านั้นคือ มันเป็นสุนทรียภาพแห่งความเร็วและสมรรถนะ เจ้า R18 ที่มีเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ขนาด 1,800 ซีซี และได้ลดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจาก R5 ต้นแบบ และใช้ล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว ส่วนล้อหลังขนาด 18 นิ้ว เพื่อให้ตรงกับสัดส่วนเดิมมากที่สุด มาพร้อมท่อไอเสียทรงหางปลา พร้อมเกียร์ 6 สปีด และระบบดิสก์เบรกคู่ 4 ลูกสูบ กับจานเบรกขนาด 300 มิลลิเมตร ทั้งหน้าและหลัง กับ 91แรงม้า เจ้า R18 ถือได้ว่า เป็นการกลับมาของเบอร์หนึ่งรถ ครุยเซอร์สไตล์เฮอริเทจ (heritage) ตลอดกาลของ BMW อย่างสง่างาม

BMW R18

BMW R18

 

Share

ใส่ความเห็น